เกี่ยวกับเรา

เกี่ยวกับเรา

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ที่ได้รับการยกฐานะขึ้นจากสมาคมอุตสาหกรรมไทย ที่ดำเนินการ มาตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2510 มาเป็นสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2530 ภายใต้การกำกับดูแล ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อุตสาหกรรม ตามพระราชบัญญัติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2530 ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐ ที่ต้องการพัฒนาสถาบันธุรกิจภาคเอกชน ของไทยให้แข็งแกร่ง อันจะทำให้กลไกการพัฒนา ในภาคอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สามารถประสานกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และพิทักษ์ ผลประโยชน์ของชาติในวงการเศรษฐกิจโลก

วิสัยทัศน์

1. ลดก๊าซเรือนกระจก โดยผลักดันการใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก

ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) เป็นความร่วมมือของประชาคมโลก เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย (Thailand’s Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation: Thailand NDC) กำหนดให้อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ลดการปล่อย CO2 จำนวน 300,000 t-CO2 ในปี 2573 ด้วยมาตรการทดแทนปูนเม็ด

 

2. เหมืองใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามนโยบายรัฐบาล อนาคตเป็นแหล่งน้ำและจุดเรียนรู้สำหรับชุมชน

พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 กำหนดให้การอนุญาตให้ทำเหมืองให้พิจารณาอนุญาตเฉพาะในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง ภายใต้ดุลยภาพด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพประชาชน

TCMA ร่วมประกาศเจตนารมณ์ธรรมาภิบาลเหมืองแร่ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคมและสุขภาพประชาชน และร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาเหมืองหินปูนสู่ความยั่งยืน

 

3. สร้าง Ecosystem สำหรับการจัดการวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว (Waste) จากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

สังคมโลกให้ความสำคัญกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ลดมลพิษ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Goals) ข้อ 12 ว่าด้วยเรื่องบทบาทของอุตสาหกรรมต่อการบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน

การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและการบริหารจัดการวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว (Waste) จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบต่อชุมชน เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของไทยในภาพรวม และทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน